ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ประเมินสัดส่วนร่างกายและความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว ในปัจจุบัน ทั้งภาวะอ้วนเกินไปและผอมเกินไปเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วไป ภาวะอ้วนเกินไปเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง ในขณะที่ภาวะผอมเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดสารอาหารและภูมิคุ้มกันบกพร่อง การเข้าใจและใช้ BMI เป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว
สารบัญบทความ
ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index – BMI) คืออะไร?
ความสำคัญของค่าดัชนีมวลกาย BMI
วิธีคำนวณค่าดัชนีมวลกาย BMI
โปรแกรมคำนวณค่าดัชนีมวลกาย BMI
เกณฑ์ค่าดัชนีมวลกาย BMI สำหรับผู้ใหญ่ อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก และการปฏิบัติตัว
คำแนะนำเบื้องต้นหากค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณไม่อยู่ในระดับปกติเกี่ยวกับวิธีการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
12 เทคนิคสำหรับการกินที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพที่ดี
ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index – BMI) คืออะไร?
ค่าดัชนีมวลกาย BMI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูง เพื่อบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่ เมื่อคำนวณออกมาแล้ว สามารถบอกได้ว่าผู้นั้นมีน้ำหนักตัวในระดับอ้วนมากเกินไป รูปร่างปกติ หรือผอมมากเกินไป โดยสูตรคำนวณจะเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ความสำคัญของ ค่าดัชนีมวลกาย BMI จะมีดังนี้
1.ใช้ประเมินความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
2.เป็นเครื่องมือคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
3.ช่วยในการติดตามน้ำหนักและสุขภาพในระดับกว้าง
4.เป็นแนวทางสำหรับบุคคลในการดูแลสุขภาพและน้ำหนักตัว
วิธีคำนวณ ค่าดัชนีมวลกาย BMI
สูตรค่าดัชนีมวลกาย BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร))²
ตัวอย่าง: หากคุณมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม และส่วนสูง 1.75 เมตร BMI = 70 / (1.75 × 1.75) = 22.86
เกณฑ์ ค่าดัชนีมวลกาย BMI สำหรับผู้ใหญ่ อ้างอิงจากองค์การอนามัยโลก และการปฏิบัติตัว
BMI น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อยเกินไป (Underweight)
- เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารอาจมีภูมิต้านทานต่ำ
- คำแนะนำ: เพิ่มปริมาณแคลอรี่ในอาหารอย่างสมดุล รับประทานอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนเพิ่มน้ำหนักอย่างเหมาะสม
BMI 18.5 – 24.9 น้ำหนักปกติ (Normal weight)
- มีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ในระดับปกติ
- คำแนะนำ: รักษาสมดุลของอาหารและการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อติดตามสุขภาพโดยรวม
BMI 25.0 – 29.9 น้ำหนักเกิน (Overweight)
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- คำแนะนำ: ควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ เพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ ลดอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน พิจารณาปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนลดน้ำหนัก
BMI 30.0 – 34.9 โรคอ้วนระดับ 1 (Obesity Class I)
- เพิ่มความเสี่ยงสูงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ
- คำแนะนำ: ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนลดน้ำหนักอย่างจริงจัง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพิ่มกิจกรรมทางกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป พิจารณาการเข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำหนักภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
BMI 35.0 – 39.9 โรคอ้วนระดับ 2 (Obesity Class II)
- ความเสี่ยงสูงมากต่อโรคแทรกซ้อน
- คำแนะนำ: ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจพิจารณาการใช้ยาช่วยลดน้ำหนักภายใต้การดูแลของแพทย์ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างจริงจัง ทั้งด้านอาหารและการออกกำลังกาย อาจต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์สหสาขา
BMI 40.0 ขึ้นไป โรคอ้วนระดับ 3 (Obesity Class III หรือ Morbid Obesity)
- ความเสี่ยงสูงมากที่สุดต่อโรคร้ายแรงและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
- คำแนะนำ: จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจพิจารณาการผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) ตามความเหมาะสม ต้องได้รับการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์สหสาขา ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
คำแนะนำเบื้องต้นหาก ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณไม่อยู่ในระดับปกติเกี่ยวกับวิธีการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
1. สำหรับผู้ที่มี BMI ต่ำกว่า 18.5 (Underweight)
- เพิ่มปริมาณแคลอรี่ รับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง เช่น อะโวคาโด ถั่ว นมเต็มมันเนย และชีส
- โปรตีนคุณภาพสูง เพิ่มการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และถั่วเหลือง เพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ
- รับประทานอาหารบ่อยขึ้น เพิ่มจำนวนมื้ออาหารในแต่ละวันเป็น 5-6 มื้อย่อย
- เน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เลือกอาหารที่มีสารอาหารมาก เช่น ผักผลไม้, ธัญพืชเต็มเมล็ด, และน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ
2. สำหรับผู้ที่มี BMI 25-29.9 (Overweight)
- ลดปริมาณแคลอรี่ ลดการบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูง เช่น อาหารจานด่วน, อาหารทอด, ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- เพิ่มผักและผลไม้ ควรเพิ่มการบริโภคผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง และมีแคลอรี่ต่ำ
- เลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่มีมัน, ปลา, ถั่ว และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ
- ควบคุมขนาดมื้ออาหาร ใช้จานขนาดเล็กลงและควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ
3. สำหรับผู้ที่มี BMI 30 ขึ้นไป (Obese)
- ลดแคลอรี่ต่อวัน ลดปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคในแต่ละวันเพื่อให้น้ำหนักลดลง โดยการลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลี่ยงการทานอาหารตอนดึก และควรเคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่และลดน้ำหนัก
- รับคำปรึกษาจากนักโภชนาการ:ในบางกรณี การรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหรือแพทย์อาจช่วยในการวางแผนการรับประทานอาหารและการลดน้ำหนักอย่างเหมาะสม
12 เทคนิคสำหรับการกินที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพที่ดี มีข้อแนะนำดังนี้
- วางแผนมื้ออาหารล่วงหน้า โดยจัดเตรียมเมนูอาหารสำหรับสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่
- เลือกอาหารที่หลากหลาย รับประทานอาหารจากทุกหมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน
- เน้นผักและผลไม้ ให้ครึ่งหนึ่งของจานอาหารเป็นผักโดยเน้นเป็นผักใบและผลไม้หลากสี ประมาณ 400 กรัมต่อวัน
- เลือกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลเกรน เพื่อเพิ่มใยอาหารและวิตามิน
- ควบคุมขนาดของมื้ออาหาร โดยใช้จานขนาดเล็กลงเพื่อควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทาน รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่เกิน 30 % ของแคลอรี่ที่ต้องการต่อวัน
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน และดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้ออาหารเพื่อควบคุมความอยากอาหาร
- ลดการบริโภคน้ำตาล เกลือ และไขมันอิ่มตัว หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- เลือกโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่ว ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
- รับประทานอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด ช่วยในการย่อยอาหารและทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรอบดึก พยายามไม่รับประทานอาหารหนัก 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน
- ปรุงอาหารด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพ เช่น นึ่ง อบ ย่าง แทนการทอด
- ฟังสัญญาณความหิวและอิ่มของร่างกาย รับประทานเมื่อหิวและหยุดเมื่อรู้สึกอิ่มพอดี
การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยพัฒนานิสัยการกินที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว สำคัญที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในเกณฑ์ BMI ใด การดูแลสุขภาพโดยรวมทั้งด้านร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรเลือกรับประทาอาหารที่ดีต่อสุขภาพและรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพโดยตรง หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ ฝากติดตามบทความอื่นใน Bhaewow.com ด้วยนะคะ
อ้างอิง
เภสัชกรอิสรีย์นะคะ จบจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาแบ่งปันความรู้ด้านสุขภาพและอาหารเสริม หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ ติดต่องาน : LINE @Bhaewow
E-mail : bhaewow@gmail.com
ติดตามเราได้ที่ : Youtube Bhaewow