กลูต้าไธโอน (Glutathione) ได้กลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการความงามและการดูแลผิว ด้วยการกล่าวถึงว่าสามารถทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดนี้ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกลูต้าไธโอน ทั้งในแง่ของหลักการทางวิทยาศาสตร์ ประสิทธิภาพที่แท้จริง และความปลอดภัยในการใช้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลูต้าไธโอน
สารบัญบทความ
กลูต้ากลูต้าไธโอนคืออะไร
กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวขึ้นจริงหรือ
วิธีการรับประทานกลูต้าไธโอนให้เห็นผล
ผลข้างเคียงของการรับประทานกลูต้าไธโอน
อาหารที่มีกลูต้าไธโอนสูง
กลูต้าไธโอนกับวิตามินซี เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนยี่ห้อไหนดีที่สุด วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
การรับประทานกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินตัวไหนดีที่สุด
กลูต้ากลูต้าไธโอน คืออะไร
กลูต้าไธโอนเป็นกรดอะมิโนสามตัวที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ตามธรรมชาติ ได้แก่ ซีสเตอีน กลูตาเมต และไกลซีน มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งและมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระและสารพิษต่างๆ มักพบมากในเซลล์ตับ นอกจากนี้ ยังช่วยในกระบวนการล้างพิษในร่างกาย และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ในปัจจุบัน กลูต้าไธโอนมีจำหน่ายในรูปแบบอาหารเสริม ทั้งชนิดรับประทานและฉีด อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมกลูต้าไธโอนควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงหรือปฏิกิริยากับยาบางชนิดได้
กลูต้าไธโอน ช่วยให้ผิวขาวขึ้นจริงหรือ
กลูต้าไธโอนได้รับความนิยมในวงการความงามและสุขภาพ เนื่องจากมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ที่ส่งผลต่อการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง โดยช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน (ผิวสีน้ำตาล) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดจุดด่างดำและความหมองคล้ำของผิวส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใส นอกจากนี้ ยังช่วยฟื้นฟูผิวที่ได้รับความเสียหายจากแสงแดดและมลภาวะ จากการศึกษาพบว่าการรับประทานกลูต้าไธโอน 500 มิลลิกรัมต่อวันช่วยทำให้ผิวที่โดนแสงแดดดูสว่างขึ้น นอกจากนี้กลูต้าไธโอนยังช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด มีการใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เสริมการรักษาในเรื่องของจุดด่างดำ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง ดังนั้นกลูตาไธโอนจึงยังไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้สำหรับทำให้ผิวขาวโดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา
วิธีการรับประทานกลูต้าไธโอนให้เห็นผล
การรับประทานกลูต้าไธโอนให้เห็นผลนั้นต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ดังนี้
- ปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทาน 500 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 2000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- ความสม่ำเสมอ ควรรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับอย่างสม่ำเสมอ จะเห็นผลเมื่อรับประทานไปประมาณ 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะทางสุขภาพของแต่ละบุคคล
- เวลาในการรับประทาน หลายคนอาจสงสัยควรรับประทานกลูต้าไธโอนตอนไหนจึงจะได้ผลดีที่สุด แนะนำให้รับประทานก่อนอาหารเช้าเนื่องจากร่างกายดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง หรือก่อนนอนเนื่องจากร่างกายจะดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีในช่วงที่ร่างกายพักผ่อน
- การรับประทานร่วมกับวิตามินซี วิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมของกลูต้าไธโอน จึงควรรับประทานควบคู่กัน
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ควรรับประทานคู่กับกลูต้าไธโอน เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์อาจลดประสิทธิภาพการทำงานของกลูต้าไธโอน ส่งผลให้ตับทำงานหนักขึ้น ยาบางชนิดต้องเปลี่ยนสภาพโดยการผ่านตับ และการบริโภคอาหารที่มีซัตเฟตสูงอาจขัดขวางการทำงานของกลูต้าไธโอนในร่างกาย
- รับประทานอาหารที่มีกลูต้าไธโอนสูง เช่น อาโวคาโด ผักใบเขียว คะน้า ผักโขม กระเทียม ส้ม สตรอเบอรี่ ถั่ว และเนื้อสัตว์ เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำช่วยในการขับสารพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูต้าไธโอน
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและใช้กลูต้าไธโอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูต้าไธโอน
ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปอาจต้องใช้เวลา 1-3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน ควรระลึกว่าการรับประทานอาหารเสริมใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์
ผลข้างเคียงของการรับประทาน กลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินคำแนะนำ อาจจะทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว เวียนหัว ผื่นขึ้น หรือในบางคนอาจจะมีอาการแพ้ที่รุนแรงเกิดขึ้นได้
อาหารที่มีกลูต้าไธโอนสูง
กลูต้าไธโอนสามารถพบได้ในอาหารที่เรารับประทาน การได้รับกลูตาไธโอนในปริมาณที่เพียงพอจากแหล่งอาหารถือเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ ตัวอย่างอาหารที่มีกลูต้าไธโอน
- ผักและผลไม้ ได้แก่ อะโวคาโด คะน้า กระเทียม ผักโขม ส้ม สตรอเบอรี่ บร็อคโครี่ กระหล่ำ
- พืชตะกลูถั่ว เช่น ถั่ว ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี อัลมอนต์ วอลนัท
- ไข่และเนื้อสัตว์ เช่น ไข่ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ตับวัว
- ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต และ นม
- ธัญพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ควินัว
กลูต้าไธโอน กับวิตามินซี เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
หลายคนอาจสงสัยว่าควรกินวิตามินซีหรือกลูต้าไธโอน ซึ่งมีข้อแตกต่างระหว่างกลูต้าไธโอนกับวิตามินซีตรงที่
1.แหล่งที่มา กลูต้าไธโอนร่างกายผลิตเองได้และพบในอาหารบางชนิด วิตามินซีได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้
2.คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถทำงานซ้ำได้หลายครั้งหมุนเวียนในร่างกาย วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพแต่ถูกใช้หมดไปเมื่อทำปฏิกิริยา
3.ผลต่อผิวพรรณ กลูต้าไธโอนช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน วิตามินซีช่วยในการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง ลดริ้วรอย
4.การดูดซึม ในรูปแบบรับประทานกลูต้าไธโอนการดูดซึมค่อนข้างต่ำ วิตามินซีดูดซึมได้ง่ายกว่า
5.บทบาทในระบบภูมิคุ้มกัน กลูต้าไธโอนเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง เน้นการล้างพิษและปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพ วิตามินซี กระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เน้นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการสังเคราะห์คอลลาเจน
6.ความคงตัว กลูต้าไธโอนคงตัวน้อย สลายตัวง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือแสง วิตามินซีคงตัวกว่าแต่ก็สลายตัวได้เมื่อโดนความร้อนหรือแสง
ทั้งกลูต้าไธโอนและวิตามินซีต่างมีประโยชน์ต่อร่างกาย และในเรื่องของผิวพรรณ มักทำงานร่วมกันได้ดี การรับประทานทั้งสองชนิดควบคู่กันอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรับประทานเพียงชนิดเดียว
ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนชนิดใดดีที่สุด วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
การเลือกผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนที่ดีที่สุดและวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีหลักการดังนี้
รูปแบบของ กลูต้าไธโอน
- แบบเม็ด (Capsules/Tablets) เป็นรูปแบบที่พบบ่อย สะดวกในการใช้และเก็บรักษา แต่การดูดซึมอาจไม่ได้ดีเท่ากับรูปแบบอื่นเนื่องจากกระบวนการย่อยอาหารอาจทำให้กลูต้าไธโอนถูกทำลายบางส่วน
- แบบผง (Powder) สามารถผสมกับน้ำหรือเครื่องดื่ม ดูดซึมได้ดีเมื่อบริโภคในรูปแบบเหลว แต่การวัดปริมาณที่เหมาะสมอาจยุ่งยากกว่าสำหรับบางคน
- แบบฉีด (Injectable) เป็นรูปแบบที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูง แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้นเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง
วิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลูต้าไธโอน
- มาตรฐานการผลิต ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานการรับรอง เช่น GMP (Good Manufacturing Practice) และมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.)
- ปริมาณกลูต้าไธโอน อ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อทราบปริมาณกลูต้าไธโอนที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยบริโภค ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณกลูต้าไธโอนที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย โดยปกติจะอยู่ในช่วง 250-1000 มิลลิกรัมต่อวัน
- ส่วนประกอบอื่นในผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนบางชนิดอาจมีการเสริมวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึม หรือสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ เช่น วิตามินอี หรือ อัลฟาไลโปอิคแอซิด (ALA) เพื่อช่วยเสริมการดูดซึมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- รูปแบบการดูดซึม ผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีเพิ่มการดูดซึม เช่น Liposomal Glutathione อาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า
- ข้อมูลและวันหมดอายุ ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนซื้อเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ยังคงใหม่และมีประสิทธิภาพสูงสุด มีคำเตือนและวิธีการใช้อย่างละเอียด
- การทดสอบจากห้องปฏิบัติการอิสระ ผลิตภัณฑ์ที่มีการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยจากห้องปฏิบัติการอิสระที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
คำแนะนำในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- เลือกตามความต้องการสุขภาพ พิจารณาจุดประสงค์ในการใช้ เช่น เสริมระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ หรือลดความเสี่ยงจากสารพิษ เพื่อเลือกส่วนผสมที่เหมาะสม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อคำแนะนำในการเลือกและปริมาณการใช้ที่เหมาะสมกับสุขภาพและภาวะร่างกาย
- ระวังของเลียนแบบ หลีกเลี่ยงการซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ และเลือกซื้อจากร้านค้าที่มีมาตรฐานและได้รับการรับรอง
โดยสรุป ไม่มีผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนชนิดใดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน การเลือกขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะบุคคล สภาพร่างกาย และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ การพิจารณาปัจจัยข้างต้นจะช่วยให้คุณเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด
การรับประทานกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินตัวไหนดีที่สุด ในเรื่องของผิวพรรณ
การทานกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินเสริมอื่น ๆ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผิวพรรณโดยเฉพาะวิตามินและสารอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยเสริมการทำงานของกลูต้าไธโอนในการลดอนุมูลอิสระและส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ วิตามินที่แนะนำให้รับประทานร่วมกับกลูต้าไธโอนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผิวพรรณ ตัวอย่างเช่น
- วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ผิว และช่วยให้กลูต้าไธโอนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการดูดซึมของกลูต้าไธโอน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนช่วยลดการสร้างเม็ดสี (melanin) ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น แนะนำให้ทานวิตามินซีร่วมกับกลูต้าไธโอนในปริมาณ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากวิตามินซีช่วยให้กลูต้าไธโอนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
- อัลฟาไลโปอิคแอซิด (Alpha Lipoic Acid – ALA) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถเพิ่มระดับของกลูต้าไธโอนในร่างกายได้ ช่วยเสริมการล้างพิษและช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหาย ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และสดใส แนะนำให้ทานอัลฟาไลโปอิคแอซิดร่วมกับกลูต้าไธโอนในปริมาณ 300-600 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยเพิ่มระดับของกลูต้าไธโอนในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
- วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลายโดยรังสียูวีและมลภาวะ วิตามินอียังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและลดริ้วรอย สามารถรับประทานวิตามินอีร่วมกับกลูต้าไธโอนได้ในปริมาณ 100-400 IU ต่อวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิว
- คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว การทานคอลลาเจนร่วมกับกลูต้าไธโอนจะช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดการเกิดริ้วรอย ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ แนะนำให้ทานคอลลาเจนในรูปแบบผงหรือเม็ดร่วมกับกลูต้าไธโอนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปริมาณที่แนะนำคือ 5-10 กรัมต่อวัน
- ซิงค์ ไม่ใช่วิตามิน แต่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อผิว ซิงค์ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ลดการเกิดสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ เมื่อใช้ร่วมกับกลูต้าไธโอนจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวที่ดีและทำให้ผิวพรรณดูเนียนใส แนะนำให้รับประทานซิงค์ร่วมกับกลูต้าไธโอน 15-30 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิว
- วิตามินบี3 ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวกระจ่างใส ช่วยลดการอักเสบของผิว เสริมการทำงานของกลูต้าไธโอนในการต้านอนุมูลอิสระ แนะนำให้รับประทานวิตามินบี 3 ร่วมกับกลูต้าไธโอน 500 มิลลิกรัมต่อวัน
- โคเอนไซม์ คิว 10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพและลดการอักเสบของผิว เสริมการทำงานของกลูต้าไธโอนในการฟื้นฟูผิว ขนาดที่แนะนำสำหรับการรับประทานโคเอนไซม์ คิว 10 อยู่ที่ประมาณ 50-200 มิลลิกรัมต่อวัน
ข้อแนะนำในการรับประทาน ควรรับประทานกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินซีและอัลฟาไลโปอิคแอซิด (ALA) ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการส่งเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงผิวพรรณให้ดูกระจ่างใสและสุขภาพดี สามารถเพิ่มวิตามินอีเพื่อเสริมประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระและการเสริมคอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความอ่อนเยาว์ของผิว ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ควรรับประทานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ระวังการรับประทานวิตามินหลายชนิดพร้อมกันเกินความจำเป็น
บทส่งท้าย
การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลูต้าไธโอนนั้นมีประโยชน์หลากหลายต่อสุขภาพและผิวพรรณ ในด้านสุขภาพ กลูต้าไธโอนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ ในด้านผิวพรรณ กลูต้าไธโอนช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดการเกิดจุดด่างดำ อีกทั้งยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมของผิว เนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลูต้าไธโอนควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
อ้างอิง
1.Glutathione กองการแพทย์ทางเลือก
2.Glutathione ทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ
4.Glutathione safe dosage and surprising side effects
เภสัชกรอิสรีย์นะคะ จบจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาแบ่งปันความรู้ด้านสุขภาพและอาหารเสริม หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ ติดต่องาน : LINE @Bhaewow
E-mail : bhaewow@gmail.com
ติดตามเราได้ที่ : Youtube Bhaewow