Thursday, 5 December 2024

โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก ช่วยลดอาการได้จริงหรือ

โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ในปัจจุบันพ่อแม่ให้ความสนใจ อาการแพ้เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ และพบว่าการแพ้อาหารในเด็กเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยขึ้นและสร้างความกังวลให้กับผู้ปกครองเป็นอย่างมาก จากการศึกษาพบว่าเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหารมักมีความผิดปกติของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โปรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จึงได้รับความสนใจในฐานะทางเลือกใหม่สำหรับการป้องกันและบรรเทาอาการแพ้อาหารในเด็ก

งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า การให้โปรไบโอติกส์ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้อาหารได้ โดยจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเยื่อบุลำไส้ นอกจากนี้ยังพบว่าโปรไบโอติกส์บางสายพันธุ์มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของอาการแพ้ที่เกิดขึ้น ทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโปรไบโอติกส์และอาการแพ้อาหารในเด็ก รวมถึงแนวทางการใช้โปรไบโอติกส์อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ปกครองได้เข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลเด็กที่มีภาวะภูมิแพ้อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดูข้อมูลอาหารเสริมโปรไบโอติกส์ที่แนะนำสำหรับเด็ก Probiotics ที่นี่

สารบัญบทความ

โปรไบโอติกส์คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย

โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็กมีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่

ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์ในเด็กที่แพ้อาหาร

การเลือกและบริโภค โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก

การใช้ โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก มีข้อควรระวังและข้อจำกัด

สรุปของการใช้ โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก

โปรไบโอติกส์กับพรีไบโอติกส์ต่างกันยังไง เลือกสายพันธุ์ไหน แพ้อาหารวิธีแก้

โปรไบโอติกส์คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย

โปรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์กลุ่มแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในอาหารหมัก เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และผักดอง นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผ่านการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ

โปรไบโอติกส์มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยโปรไบโอติกส์ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถจัดการกับเชื้อก่อโรคได้ดีขึ้น นอกจากนี้โปรไบโอติกส์ผลิตสารที่ช่วยควบคุมการอักเสบในร่างกาย ลดการตอบสนองที่รุนแรงเกินไปของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้

ความเชื่อมโยงระหว่างโปรไบโอติกส์กับลำไส้นั้นมีความซับซ้อนและน่าสนใจ ลำไส้ของมนุษย์เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์นับล้านชนิด เมื่อเราบริโภคโปรไบโอติกส์ จุลินทรีย์เหล่านี้จะเข้าไปอาศัยในลำไส้และช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศในลำไส้ โปรไบโอติกส์ทำหน้าที่เสมือนทหารยามที่คอยปกป้องผนังลำไส้ ป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคเกาะติดและแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ยังช่วยย่อยอาหารและผลิตวิตามินบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย

การทำงานของโปรไบโอติกส์ในลำไส้ยังส่งผลต่อการสื่อสารระหว่างลำไส้และสมอง หรือที่เรียกว่าแกนลำไส้-สมอง (Gut-Brain Axis) ผ่านการผลิตสารสื่อประสาทและฮอร์โมนต่างๆ ส่งผลให้โปรไบโอติกส์มีอิทธิพลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย

โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็กมีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่

การทำงานของโปรไบโอติกส์ในการลดอาการแพ้ในรูปแบบต่างๆนั้นเกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน โดยโปรไบโอติกส์จะกระตุ้นการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดทีเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ไวเกินไป นอกจากนี้ โปรไบโอติกส์ยังช่วยเสริมความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้ ลดการดูดซึมของสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่กระแสเลือด และผลิตสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดความรุนแรงของอาการแพ้

เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปอาหารจะส่งผลกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนอง ทำให้แสดงอาการแพ้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผื่นแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อากาศหรือภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ผลการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์ในการลดอาการแพ้มีทั้งที่สนับสนุนและยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม โดยผลการรวบรวมการศึกษาหลายชิ้นพบว่าการให้โปรไบโอติกส์ในทารกและเด็กเล็กสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ การศึกษาพบว่าการให้โปรไบโอติกส์ในหญิงตั้งครรภ์และทารกแรกเกิดสามารถลดอุบัติการณ์การเกิดของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้ อย่างไรก็ตามผลการวิจัยในการรักษาอาการแพ้ที่เกิดขึ้นแล้วยังมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของภูมิแพ้และสายพันธุ์ของโปรไบโอติกส์ที่ใช้

สายพันธุ์โปรไบโอติกส์ที่มีการศึกษาว่ามีประสิทธิภาพในการลดอาการแพ้มีหลายชนิด โดยสายพันธุ์ที่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุน ได้แก่ Lactobacillus rhamnosus GG ซึ่งมีการศึกษาพบว่าช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก(3)(4) Bifidobacterium longum BB536 ที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ละอองเกสรและหอบหืด(5) และ Lactobacillus paracasei LP-33 ที่ช่วยลดอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหลในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ(6) การเลือกใช้โปรไบโอติกส์จึงควรพิจารณาตามชนิดของอาการแพ้และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์ในเด็กที่แพ้อาหาร

1.ปริมาณและระยะเวลาในการรับประทานโปรไบโอติกส์กับชนิดของอาการแพ้นั้นมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะและความรุนแรงของอาการ สำหรับโรคภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก (Atopic dermatitis) มีการศึกษาพบว่าการให้โปรไบโอติกส์ในปริมาณ 1-10 พันล้านหน่วย (CFU) ต่อวัน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลในการลดความรุนแรงของผื่นและอาการคัน โดยสายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพได้แก่ Lactobacillus และ Bifidobacterium และมักใช้โปรไบโอติกส์แบบผสมหลายสายพันธุ์ (Multi-strain probiotics) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา อย่างไรก็ตาม การตอบสนองต่อโปรไบโอติกส์ในแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ ความรุนแรงของอาการแพ้ สภาพแวดล้อม และพันธุกรรม จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ที่มีคุณภาพ ผ่านการรับรองมาตรฐาน และเก็บรักษาอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา

2.การใช้โปรไบโอติกส์ร่วมกับพรีไบโอติกส์ (Synbiotics) อาจให้ผลดียิ่งขึ้น เนื่องจากพรีไบโอติกส์จะช่วยเป็นอาหารให้โปรไบโอติกส์เจริญเติบโตและทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

3.พฤติกรรมการรับประทานอาหาร อาหารที่มีน้ำตาลสูง ไขมันอิ่มตัว หรืออาหารแปรรูปจำนวนมาก อาจรบกวนการทำงานของโปรไบโอติกส์และระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ผักผลไม้หลากหลาย และอาหารหมักที่มีโปรไบโอติกส์ตามธรรมชาติจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์ที่ได้รับเพิ่มเติม

4.ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับอาการแพ้ และส่งผลต่อประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์มีหลายประการที่ควรพิจารณา เริ่มจากพันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว เด็กจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดภูมิแพ้ และอาจต้องการปริมาณโปรไบโอติกส์ที่สูงขึ้นหรือระยะเวลาการรักษาที่นานขึ้นเพื่อให้ได้ผลดี

นอกจากนี้ อายุและช่วงเวลาที่เริ่มให้โปรไบโอติกส์ก็มีความสำคัญ การให้โปรไบโอติกส์ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดหรือในช่วงที่ทารกยังดื่มนมแม่จะให้ผลดีกว่าการเริ่มให้เมื่อมีอาการแพ้แล้ว เนื่องจากเป็นช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันและจุลินทรีย์ในลำไส้กำลังพัฒนา การได้รับโปรไบโอติกส์ในช่วงนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้ในอนาคต

โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ยี่ห้อไหนดี เลือกยังไง

การเลือกและบริโภค โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก

1.เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุสายพันธุ์ของโปรไบโอติกส์อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีการศึกษาวิจัยรองรับว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในเด็ก เช่น Lactobacillus rhamnosus GG, Bifidobacterium lactis และ Lactobacillus reuteri ประการที่สอง ควรตรวจสอบปริมาณจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (CFU) ให้เพียงพอต่อการออกฤทธิ์ โดยทั่วไปควรมีปริมาณอย่างน้อย 1-10 พันล้านหน่วยต่อวัน

2.เลือกรูปแบบผลิตภัณฑ์

สำหรับเด็กเล็กควรเลือกรูปแบบที่รับประทานง่าย เช่น ผงละลายน้ำ รูปแบบน้ำ(แบบหยด) หรือเม็ดละลาย ส่วนเด็กโตอาจเลือกเป็นแคปซูลหรือเม็ดเคี้ยวได้ ต้องดูวันหมดอายุและวิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่ควรเก็บในที่แห้งและเย็น ไม่โดนแสงแดดโดยตรง นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิตที่ดี (GMP) และมาจากบริษัทที่น่าเชื่อถือ

3.เวลาที่ควรรับประทาน

ควรให้เด็กรับประทานโปรไบโอติกส์ขณะท้องว่างหรือก่อนอาหารประมาณ 30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ผ่านกรดในกระเพาะอาหารได้ดีที่สุด หากเป็นผงละลายน้ำ ควรใช้น้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่น ไม่ควรใช้น้ำร้อนเพราะอาจทำลายจุลินทรีย์ได้ สำหรับเด็กทารกที่ดื่มนมแม่ สามารถผสมผงโปรไบโอติกส์กับน้ำนมที่ปั๊มไว้ได้

4.คำแนะนำเพิ่มเติม

การเริ่มให้โปรไบโอติกส์ควรเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามคำแนะนำบนฉลาก เพื่อให้ร่างกายปรับตัว และสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น ท้องอืด ท้องเสีย หรือผื่นแพ้ หากพบอาการผิดปกติควรหยุดให้และปรึกษาแพทย์ ในช่วงแรกอาจมีอาการท้องอืดเล็กน้อยได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

กรณีที่เด็กต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรเว้นระยะห่างการให้โปรไบโอติกส์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง และควรให้โปรไบโอติกส์ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์หลังหยุดยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยฟื้นฟูจุลินทรีย์ในลำไส้ให้กลับสู่สมดุล นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้เด็กรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ผักผลไม้หลากหลายชนิด เพื่อเป็นอาหารให้โปรไบโอติกส์เจริญเติบโตได้ดี

การใช้ โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก มีข้อควรระวังและข้อจำกัด

1.โปรไบโอติกส์มีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การใช้สายพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมอาจไม่ได้ผลตามต้องการ และในบางกรณีอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น อาการท้องอืดหรือระบบทางเดินอาหารผิดปกติ

2.สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ควรหลีกเลี่ยงโปรไบโอติกส์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

3.การใช้ในเด็กและผู้สูงอายุ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันและการย่อยอาหารมีความเปราะบาง แม้โปรไบโอติกส์จะปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่บางคนอาจเกิดอาการข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ท้องอืด หรือแพ้สารที่เป็นส่วนผสม 

4.โปรไบโอติกส์ในตลาดมีคุณภาพหลากหลาย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและมีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์และปริมาณที่ชัดเจน

5.ควรให้ความสำคัญของการปรึกษาแพทย์เพื่อการประเมินความเหมาะสม เนื่องจากแพทย์สามารถประเมินได้ว่าโปรไบโอติกส์เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของผู้ป่วยหรือไม่ และช่วยเลือกสายพันธุ์ที่มีการศึกษาสนับสนุน

6.การปรึกษาแพทย์ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีของผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น โปรไบโอติกส์อาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ การปรึกษาแพทย์ช่วยให้ใช้อย่างปลอดภัย

สรุปของการใช้ โปรไบโอติกส์กับการแพ้อาหาร ในเด็ก

โปรไบโอติกส์ หรือจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย รวมถึงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ในเด็กที่มีอาการแพ้อาหาร การเสริมโปรไบโอติกส์เข้าไปอาจช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการเกิดอาการแพ้โดยจะเข้าไปช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียชนิดดีและชนิดไม่ดีในลำไส้ ลดการอักเสบจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายสามารถรับมือกับสารก่อภูมิแพ้ได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ ประสิทธิภาพของโปรไบโอติกส์ในการลดอาการแพ้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น ขนาดที่ใช้ ระยะเวลาในการรับประทาน และความสม่ำเสมอในการบริโภค รวมถึงการดูแลสุขภาพโดยรวม เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อภูมิพ้และสารก่อภูมิแพ้ การรักษาสุขอนามัยที่ดี และควรใช้โปรไบโอติกส์เป็นตัวเสริมของแผนการรักษาแบบองค์รวม ไม่ใช่วิธีการรักษาเพียงอย่างเดียว

สำหรับผู้ปกครอง ก่อนให้บุตรหลานรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติกส์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำในเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เลือกผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ที่มีการรับรององค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญในการให้บุตรหลานรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงและหลากหลายชนิด จะช่วยส่งเสริมสุขภาพของลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน

หากบุตรหลานมีอาการแพ้อาหารหลังจากรับประทานโปรไบโอติกส์ ควรหยุดให้รับประทานทันทีและปรึกษาแพทย์ ข้อควรจำผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ไม่ใช่ยา และไม่สามารถรักษาอาการแพ้อาหารได้ทุกกรณี การรักษาอาการแพ้อาหารต้องอาศัยการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

โปรมัมPromom ดีเอชเอสำหรับเด็ก ผสมโปรไบโอติก

sponsored shopeesponsored Lazada

Lamoon Prolacto probiotic synbioticโปรไบโอติก โพรไบโอติก สำหรับเด็ก

sponsored shopeesponsored Lazada

Auswelllife Probiotics plus โปรไบโอติก โพรไบโอติก สำหรับเด็ก

sponsored shopeesponsored Lazada

อ้างอิง

1.Probiotics supplementation during pregnancy or infancy on multiple food allergies and gut microbiota : a systematic review and meta-analysis

2.Probiotics fact sheet

3.Prebiotics and probiotics :the prevention and reduction in severity of atopic dermatitis in children

4.Probiotics function in Preventing atopic dermatitis in children

5.Bifidobacterium mixture (B longum BB536, B infantis M-63, B breve M-16V) treatment in children with seasonal allergic rhinitis and intermittent asthma) 

6.Efficacy and safety of the probiotic Lactobacillus paracasei LP-33 in allergic rhinitis: a double-blind, randomized, placebo-controlled trial (GA2LEN Study)

7.Probiotics for kids 

Disclaimer

เราจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยาสมุนไพร ฯลฯ อย่างไรก็ตามเนื้อหาในเว็บไซด์ แห่งนี้มีไว้เพื่อการศึกษาหรือเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หรือใช้แทนคำการวินิจฉัย การรักษาทางการแพทย์แต่อย่างไร หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบายควรปรึกษาแพทย์ที่สถานพยาบาลเท่านั้น