Thursday, 16 January 2025

รอยแผลเป็นเกิดจาก กลุ่มยาช่วยลดรอยแผลเป็น

สวัสดีค่ะ เภว๊าว ว๊าวความรู้คู่สุขภาพนะคะ วันนี้จะมาพูดถึงยาลดรอยแผลเป็นกันนะคะ ก่อนที่จะพูดถึงยาลดรอยแผลเป็น เรามารู้จักรอยแผลเป็นกันก่อนนะคะว่าเกิดได้อย่างไร

รอยแผลเป็นเกิดได้อย่างไร

1.ระยะการอักเสบ (Inflammatory phase) เมื่อเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อร่างกายก็จะทำให้เนื้อเยื่อที่มีบาดแผลหลั่งสารต่าง ๆ เช่น เม็ดเลือดขาว ไปกระตุ้นกระบวนการตอบสนองต่อการอักเสบของร่างกาย

2.ระยะที่มีการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาซ่อมแซม (Proliferative phase) โดยเซลล์ร่างกายจะมีการหลั่งสารซึ่งมีผลกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างและซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ ทำให้มีการสร้างชั้นผิวใหม่ และเส้นเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงบริเวณบาดแผลอย่างเพียงพอ โดยเซลล์ของร่างกายที่ชื่อว่า ไฟโบรบลาส (Fibroblast) จะมีการสร้างองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Glycosaminoglycan) และคอลลาเจน (Collagen) ขึ้นมาทดแทนส่วนที่ถูกทำลายไป

3.ระยะสุดท้ายของการหายของแผล(Maturation and remodeling phase) จะมีการซ่อมแซมและจัดเรียงตัวของคอลลาเจนและหลอดเลือด ทำให้มีโครงสร้างของผิวหนังใหม่ซึ่งจะทำให้ทิ้งรอยแผลเอาไว้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นประกอบด้วยหลายปัจจัย ได้แก่

1.ความลึกของแผล

2.ระยะเวลาในการเกิดแผล การอักเสบเรื้อรัง

3.ชนิดของการบาดเจ็บ เช่น การบาดเจ็บชนิดรุนแรง เป็นต้น

4.ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากว่าหากมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันมากก็จะทำให้เซลล์ (Fibroblast) มีการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือคอลลาเจนออกมาปริมาณมากก็จะมีผลต่อการเกิดแผลเป็นแบบลักษณะโตนูน (Hypertrophic scars)  หรือเนื้องอกแผลเป็นที่เรืยกว่า คีลอยด์ (Keloid)

รอยแผลเป็นมีแบบไหนบ้าง

1.รอยแผลเป็นอาจจะมีลักษณะโตนูน (Hypertrophic scars) เช่น แผลผ่าตัด เป็นต้น

2.รอยแผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไป (Depressed scar) เช่น หลุมสิวต่างๆ  เป็นต้น

3.รอยแผลเป็นที่มีการหดรั้ง (Scar contracture) เช่น แผลไฟไหม้ แผลโดนสารเคมี เป็นต้น

และรอยแผลเป็นเหล่านี้สามารถมีสีที่เข้มขึ้น เรียกว่าภาวะ Post-inflammatory Hyperpigmentation เช่น รอยแผลเป็นจากสิว รอยดำ ที่เกิดจากกระบวนการอักเสบจากการเกิดสิวหรือการเกิดแผล ไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง ทำให้เกิดสีของแผลเป็น และรอยแผลเป็นที่มีสีแดง เรียกว่า ภาวะ Post-inflammatory Erythema เป็นรอยแดงจะเกิดขึ้นจากผลหลอดเลือดแดงฝอยที่แตกบริเวณที่เกิดการอักเสบมาก่อน

ปัจจัยที่ทำให้รอยแผลเป็นหายเร็วหรือช้า มีหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น

1.การได้รับอ็อกซิเจนของเซลล์ผิวในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้กระตุ้นการสร้างหลอดเลือดและเซลล์ผิวใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

2.การติดเชื้อหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อซ้ำไปซ้ำมา

3.เพศ อายุ อายุที่มากขึ้นมีผลทำให้ร่างกายตอบสนองต่อรอยแผลช้าลง

4.โรคประจำตัว หรือการใช้ยารักษาโรคประจำตัว

วิธีการรักษารอยแผลเป็น โดยทั่วไปการรักษารอยแผลเป็นจะใช้ระยะเวลาหลายเดือนถึงปี และใช้หลายวิธีเพื่อลดรอยแผลเป็น ได้แก่

1.การใช้ยาทาลดรอยแผลเป็น

2.การใช้ยาฉีดเข้าแผลเป็น

3.การใช้เลเซอร์ลดรอยแผลเป็น

ส่วนประกอบหลักของยาลดรอยแผลเป็นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง

  1. สารสังเคราะห์ ได้แก่ มิวโคโพลีแซคคาไรด์ โพลีซัลเฟต (Mucopolysaccharide polysulfate (MPS)) , ซิลิโคนเจล (Silicone gel) ,แผ่นแปะซิลิโคน (Silicone sheet)

– มิวโคโพลีแซคคาไรด์ โพลีซัลเฟต (Mucopolysaccharide polysulfate (MPS)) จะไปช่วยยับยั้งการอักเสบ ช่วยลดสารคัดหลั่งและอาการบวมบริเวณแผล ทำให้ลดอาการปวดและตึงบริเวณที่มีอาการ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่

– ซิลิโคนเจลและแผ่นแปะซิลิโคน จะไปช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้แผลเรียบเนียนและลดการนูนของแผล

2.สารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ สารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa), สารสกัดจากต้นคอมเฟรย์ (Allantoin) ,สารสกัดจากใบบัวบก (Centella asiaitica), ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)

– สารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa) ใช้ในการรักษา ป้องกัน ลดรอยแผลเป็นและลดการเกิดคีลอยด์ โดยมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทรีเรีย ปรับสมดุลการสร้างผิวใหม่โดยไปลดกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนที่มากเกินไปทำให้ลดการเกิดผิวนูน โดยความเข้มข้นที่เห็นผลในการลดรอยแผลเป็นจะนิยมใช้อยู่ที่ 12%

– สารสกัดจากต้นคอมเฟรย์ (Allantoin) มีคุณสมบัติสมานแผล กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เพิ่มความชุ่มชื้น และลดการระคายเคือง

– สารสกัดจากใบบัวบก (Centella asiatica) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้การสร้างผิวใหม่มีการเรียงตัวได้ดีขึ้น ลดการเกิดแผลเป็นชนิดนูน ลดการอักเสบ

– ว่านหางจระเข้ (Aloe vera) มีสารสำคัญที่ชื่อว่า อะโลซิน (Aloesin) ช่วยลดการสร้างเม็ดสีที่ทำให้เกิดรอยดำรอยแดงจากสิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการอักเสบ

3.วิตามิน ได้แก่ วิตามินบี 3 (Vitamin B3,Niacinamide), วิตามินอี ( Vitamin E,Tocopherol) , วิตามินซี (Vitamin C, Ascorbic acid)

– วิตามินบี 3 (Vitamin B3,Niacinamide) ลดการอักเสบของผิว ลดรอยดำรอยแดงของผิว ลดความเข้มของรอยแผลเป็น

– วิตามินอี ( Vitamin E,Tocopherol) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันผิวจากรังสียูวี

– วิตามินซี (Vitamin C, Ascorbic acid) ลดกระบวนการอักเสบ โดยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว เพิ่มความคงตัวให้คอลลาเจนที่ชั้นผิวหนัง และเร่งการสร้างผิวใหม่ ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสโดยจะไปช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว ลดผิวคล้ำเสีย ลดรอยแดงจุดด่างดำจากสิว โดยวิตามินซีแบบทาจะไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้มีผลต่อเซลล์ผิวทำให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานินลดลง

หากใช้ยาลดรอยแผลเป็นตามระยะเวลานี้แล้วรู้สึกว่าไม่ดีขึ้นอาจจะลองเปลี่ยนยาและรักษารอยแผลเป็นด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การฉีดยา หรือการทำเลเซอร์ เป็นต้น

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ ฝากติดตามบทความต่อไปด้วยนะคะ

Disclaimer

เราจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยาสมุนไพร ฯลฯ อย่างไรก็ตามเนื้อหาในเว็บไซด์ แห่งนี้มีไว้เพื่อการศึกษาหรือเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หรือใช้แทนคำการวินิจฉัย การรักษาทางการแพทย์แต่อย่างไร หากคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบายควรปรึกษาแพทย์ที่สถานพยาบาลเท่านั้น